ปลาทองหัวสิงห์ตันโจ
ปลาทองที่มีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ โดยสิ้นเชิง นั่นคือ
ปลาทองชนิดนี้แทนที่จะมีวุ้นขึ้นดกหนา
เหมือนปลาหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ แต่กลับ มีเยื่อจมูกยื่นยาว
ออกมาทำให้แลดูแปลกตาออกไป
ส่วนวุ้นบนหัวโดยมากจะมีลักษณะบางจนแทบมองไม่เห็น
และโดยทั่วไปปลาทองสายพันธุ์นี้จะ
มีช่วงลำตัวยาวและเพรียวกว่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ
สำหรับหลักเกณฑ์ความสวยงาม
พิจารณาจากความสวยงามของเยื่อจมูกของปลาเป็นหลัก ส่วนลักษณะอื่น ๆ ก็ยึดหลักเกณฑ์
เดียวกันกับการตัดสินปลาทองหัวสิงห์ทั่วไป
ปลาทองสายพันธุ์นี้ในบ้านเราไม่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก สาเหตุอาจเป็นเพราะทรวดทรงที่
ไม่สวยงามเท่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์ที่มีวุ้นดกหนา ขณะเดียวกันก็เป็นปลาที่แพร่พันธุ์ได้
ยากมาก และส่วนมากลูกปลาที่เพาะได้ก็จะพิการเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้ปลา ชนิดนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากนักเพาะพันธุ์ปลาทองมืออาชีพเช่นกันเพราะเพาะแล้ว ไม่ค่อยคุ้ม |
วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557
ปลาทองหัวสิงห์ตันโจ
ปลาทองหัวสิงห์ปอมปอม
ปลาทองหัวสิงห์ปอมปอม
ปลาทองที่มีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ โดยสิ้นเชิง
นั่นคือปลาทองชนิดนี้แทนที่
จะมีวุ้นขึ้นดกหนาเหมือนปลาหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ
แต่กลับ มีเยื่อจมูกยื่นยาวออกมา
ทำให้แลดูแปลกตาออกไป ส่วนวุ้นบนหัวโดยมาก
จะมีลักษณะบางจนแทบมองไม่เห็น
และโดยทั่วไปปลาทองสายพันธุ์นี้จะมีช่วงลำตัวยาวและ
เพรียวกว่าปลาทองหัวสิงห์
สายพันธุ์อื่น ๆ
สำหรับหลักเกณฑ์ความสวยงาม พิจารณาจากความสวยงามของเยื่อจมูกของปลา
เป็นหลัก ส่วนลักษณะอื่น ๆ ก็ยึดหลักเกณฑ์เดียวกันกับการตัดสินปลาทองหัวสิงห์ทั่วไป
ปลาทองสายพันธุ์นี้ในบ้านเราไม่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก สาเหตุอาจเป็นเพราะทรวดทรง
ที่ไม่สวยงามเท่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์ที่มีวุ้นดกหนา ขณะเดียวกันก็เป็นปลาที่แพร่พันธุ์
ได้ยากมาก และส่วนมากลูกปลาที่เพาะได้ก็จะพิการเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้ปลา
ชนิดนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากนักเพาะพันธุ์ปลาทองมืออาชีพเช่นกันเพราะเพาะแล้ว
ไม่ค่อยคุ้ม
|
ปลาทองพันธุ์ ชูบุงกิง
ปลาทองพันธุ์ ชูบุงกิงปลาทองชูบุงกิง (SHUBUNKIN) มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษอยู่ด้วยกันหลายชื่อ อาทิเช่นSPECKLED GOLDFISH,HARLEQUIN GOLDFISH,VERMILION GOLDFISHและ RED BROCADE เป็นปลาที่เพิ่งเกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่20 นี้ โดยนักเพาะพันธุ์ปลาทองจากนครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นคือ นาย Kichigoro Akiyama โดยนำปลาทอง 3 ชนิด คือปลาทองพันธุ์ตาโปน 3 สี (5สี) (Calico Telescope Eye)มาผสมข้ามพันธุ์กับปลาทองพันธุ์วะกิง (Japanese Golden)ซึ่งมีหางเดี่ยว หรือหางซิว (Single Tial) ต่อมาก็นำมาผสมกับปลาทองพันธุ์ Scarlet Crucian (Hibuna) จากนั้นเขาก็ได้คัดเลือกลูกปลาขึ้นมาราว 14-15 ตัวจากจำนวนปลาทั้งสิ้น2 หมื่นกว่าฟอง ซึ่งลูกปลาที่เขาเพาะพันธุ์ขึ้นได้มีหางยาวมีเกล็ดบางใสและมีสีหลากหลายสีอยู่ในตัวเดียวกันซึ่งนาย Shinnosuke Matsubara ได้ขนานนามให้ปลาตัวนี้ว่า“Red Marked Calico” หรือ "Shubunkin"ต่อมาลูกปลาทองชูบุงกิงได้เข้าไปแพร่หลายในประเทศอังกฤษในสมัยราชาภิเษกอวยพรเจ้ายอร์ชที่ 6 ในสมัยนั้นได้มีพ่อค้าปลาบางรายได้ตั้งชื่อปลาชนิดนี้ว่า “Coronation Fish” หรือปลาราชาภิเษกทั้งนี้เพราะปลาชนิดนี้มีจุดประขึ้นเป็นสีต่างๆ แต่ชื่อนี้ก็ใช้เพียงเพื่อผลประโยชน์ในเชิงการค้าเท่านั้นและในเวลาต่อมาปลาทองชนิดนี้ ก็ได้วิวัฒนาการจนได้ปลาทอง 2 สายพันธุ์London Shubunkin และ Bristol Shubunkin ซึ่งปลาทองทั้ง2 สายพันธุ์จะมีรูปร่างและสีสันที่เหมือนๆ กัน ต่างกันตรงที่ปลาทอง Bristol Shubunkin จะมีครีบและหางยื่นยาวและสูงกว่าแต่แบบ London Shubunkin ดูจะได้รับความนิยมมากว่าในประเทศอังกฤษปลาทองชูบุงกิงเป็นปลาทองที่มีความแข็งแรงอดทนมากชนิดหนึ่งมีเกล็ดบางใสแต่ไม่เงาแวววาวเหมือนปลาทองทั่วๆไป ลำตัวมีลักษณะคล้ายปลาทองสามัญแต่จะเพรียวกว่า มีครีบที่สมบรูณ์และยาวกว่า ปลายหางจะมนกลม เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้รวดเร็วและต้องการพื้นที่ในที่เลี้ยงพอสมควร ปลาทองชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดถัวเฉลี่ยราว 9 นิ้ว มีอายุยืนยาวราว10-20 ปี จัดว่าเป็นปลาทองที่ค่อนข้างเลี้ยงง่าย สามารถเลี้ยงได้ในกลางแจ้งตลอดทั้งปีเป็นปลาที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี สามารถเลี้ยงได้ในที่ๆแม้มีอุณหภูมิต่ำ แต่ไม่ควรให้ปลาอยู่ในที่ๆ มีอุณหภูมิต่ำกว่า60 องศาFเป็นระยะเวลานานๆ เพราะความเย็นอาจทำให้กระเพาะลมของปลาเกิดการผิดปกติปลาชนิดนี้มีด้วยกันหลากหลายสี อาทิเช่น สีแดง ขาว ส้ม ทอง น้ำตาล ดำ เหลือง ม่วงเข้มน้ำเงินเทาสำหรับในบ้านเราปลาทองพันธุ์ชูบุงกิงมันรู้จักดีในนามของ “ปลาทองหางซิว”แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลายนัก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเป็นปลาทองที่รูปร่างธรรมดาๆ จึงทำให้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจกันเท่าใด แต่ถ้าหากท่านนักเลี้ยงปลาได้รู้ถึงความยากเย็นกว่าที่จะได้ปลาทองพันธุ์นี้มา คิดว่าคงมีหลายๆท่านอาจจะหันมาสนใจปลาทองพันธุ์นี้กันบ้าง นอกจากนี้ปลาทองชนิดนี้ยังเป็นปลาที่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงไว้ในบ่อหรือสระเล็กๆ เพราะเป็นปลาที่มีความอดทนและสามารถเลี้ยงในกลางแจ้งได้อีกด้วยคราวนี้เราจะมาคุยกันถึงลักษณะของปลาทองพันธุ์ชูบุงกิงที่จัดว่าสวย ลักษณะสำคัญของปลาทองพันธุ์นี้คือหาง หางจะต้องเป็นแบบหางซิวและจะต้องยาว ปลาทองชนิดนี้หากมีหางยาวมากเท่าใดก็จะเป็นที่นิยมมากเท่านั้น สำหรับในด้านของสีสัน หากมีหลายสีก็จะเป็นที่นิยมกันแต่ที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุดจะต้องมี 5 สี เป็นจุดประทั่วทั้งตัว ปลาที่มีสีเหลืองมากว่าสีอื่นจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมเลี้ยงกัน |
ปลาทองพันธุ์โคเม็ท
ปลาทองพันธุ์โคเม็ท
ปลาทองโคเมทเป็นปลาที่คัดสายพันธุ์ได้ที่อเมริกา โดยการพัฒนามาจากปลาทอง
ธรรมดา ได้ปลาที่มีครีบยาวขึ้น โดยเฉพาะหางจะยาวไม่น้อยกว่า 3/4 ของความยาว
ลำตัว เป็นปลาที่เลี้ยงง่ายว่ายน้ำได้รวดเร็ว ปราดเปรียวต้องการเนื้อที่สำหรับอยู่
มากกว่าปลาชนิดอื่น จึงเหมาะแก่การเลี้ยงไว้ในบ่อมากกว่าเลี้ยงไว้ในตู้หรืออ่างปลา ในอเมริกานิยมเลี้ยงกันมาก เป็นปลาที่ราคาค่อนข้างแพงในยุโรปเมื่อสิบกว่า
ปีก่อนก็ได้รับความนิยมไม่น้อย มาช่วงระยะหลังนี้ออกจะไปซาไปแต่สำหรับบ้าน
เรามีคนเลี้ยงกันน้อยอาจเป็นด้วยความรูปร่างที่คล้ายปลาคาร์พคนจึงหันมาเลี้ยง
ปลาคาร์พ ตามกระแสนิยมมากกว่า แต่ถ้าต้องการปลาทองที่มีความปราดเปรียว และอ่อนช้อยอยู่ในตัวเดียวกัน ปลาทองโคเมทน่าจะเป็นคำตอบที่ดี
รูปร่างลักษณะของปลาทองโคเมทที่ได้สัดส่วนมาตรฐานสากล
ลำตัวด้านกว้างควรอยู่ระหว่าง 3/7 ถึง 3/8 เท่าของความยาว
ครีบอกและครีบท้องจะต้องเป็นครีบคู่ แต่ครีบหลังและครีบทวารจะต้องเป็นครีบเดี่ยว
ครีบหางจะต้องยาวไม่น้อยกว่า 3/4 ลำตัว
ปลายครีบทุกครีบจะมีลักษณะแหลม
สีมีทั้งสีเดียวกันตลอดทั้งตัวหรือเป็นลายแถบสลับสีระหว่าง สีส้ม ขาวเงิน เหลือง ถ้า
เป็นชนิดห้าสี สีพื้นของลำตัวจะต้องเป็นสีน้ำเงินและมีไม่น้อยกว่า 25 %
ทั้งหมด โดยแถบสีต่างๆ ได้แก่ สีม่วง แดง ส้ม เหลือง น้ำตาล โดยมีลายแต้มจุดเป็น
สีดำปกติปลาทองโคเมทเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายไม่ต้องเอาใจใส่มากเหมือนปลาทอง
สายพันธุ์
อื่นๆแต่ถ้าเลี้ยงไว้ในบ่อกลางแดดจะช่วยให้ปลามีสีสดสวยยิ่งขึ้นแต่ก็ควรมีร่มไว้ให้
ปลาหลบแดดบ้าง โดยทั่วไปปลาทองโคเมทจะมีอายุระหว่าง 5-10 ปี
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557
ปลาทอง พันธุ์เกล็ดแก้ว
ปลาทอง พันธุ์เกล็ดแก้ว
ปลาทองลูกกอล์ฟใต้น้ำสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยจนเป็นที่รู้จักและยอมรับของทั่วโลกว่าเป็นปลาทองที่แปลกไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้วนี้เป็นปลาที่ชาวไทยเป็นผู้เพาะพันธุ์ขึ้นสำเร็จเป็นชาติแรกของโลก ซึ่งปลาทองสายพันธุ์นี้มีลักษณะแตกต่างไปจากปลาทองสายพันธุ์อื่นๆ โดยสิ้นเชิง นั่นคือเป็นปลาทองที่มีลำตัวกลมมากจนคล้ายลูกปิงปอง โดยเฉพาะเกล็ดบนลำตัวจะมีลักษณะนูนขึ้นจนเป็นตุ่มซึ่งผิดกับเกล็ดของปลาทองโดยทั่วไปส่วนหัวมีขนาดเล็กมากซึ่งอาจจัดได้ว่าเป็นปลาทองที่มีส่วนหัวเล็กที่สุดก็ว่าได้ และจากลักษณะพิเศษเฉพาะนี้ทำให้ปลาทองเกล็ดแก้วดังข้ามทะเลไปสร้างชื่อเสียงไกลถึงต่างประเทศให้เป็นที่รู้จัก ในนามของ "PEARL SCALE GOLDFISH"
สำหรับประวัติความเป็นมาของปลาทองสายพันธุ์นี้ยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากผู้เพาะพันธุ์ไม่ได้นำบันทึกการเพาะออกเผยแพร่จึงไม่อาจสืบทราบประวัติที่มาของปลาทองสายพันธุ์นี้ได้ แต่โชคร้ายที่ถึงแม้ว่าปลาทองพันุ์เกล็ดแล้วจะเป็นปลาทองที่เพาะพันธุ์ขึ้นได้ในประเทศไทยเราเองก็ตาม แต่กลับเป็นปลาที่ไม่ได้รับความนิยมจากนักเลี้ยงในบ้านเรา เหตุผลเท่าที่ได้ฟังมาเป็นเพราะปลาทองพันุ์นี้เป็นปลาที่เกล็ดยื่นนูนออกมาทำให้แลดูไม่น่ารักแถมบางคนบอกดูแล้วน่าเกลียดมากกว่า แต่ถ้าพูดถึงความยากง่ายในการเลี้ยงแล้วปลาทองสายพันธ์นี้จัดอยุ่ในเกณฑ์ค่อนข้างเลี้ยงยากสักหน่อย เพราะเป็นปลาที่เปราะบางและป่วยเป็นโรคได้ง่าย
สำหรับเทคนิคในการเลี้ยงก็ใช้หลักการเดียวกับการเลี้ยงปลาทองทั่วๆ ไปในปัจจุบันได้มีผู้ทดลองเพาะพันธุ์ปลาทองพันธุ์นี้จนได้ปลาสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ทีรูปทรงแตกต่างออกไปมากมาย เช่นปลาทองเกล็ดแก้วชนิดหางสั้น ชนิดหางยาว ชนิดหัววุ้น และชนิดหัวมุก ฯลฯ และบ้างก็เน้นไปทางสีสันโดยการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อให้ได้ปลาที่มีสีสันแปลกๆ ออกไป แต่จุดใหญ่คือการคงไว้ซึ่งเกล็ดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
สำหรับปลาทองเกล็ดแก้วที่เป็นที่นิยมว่าสวยควรมีลำตัวกลมเหมือนลูกปิงปองเกล็ดบนลำตัวจะต้องอยู่ครบทุกเกล็ด เกล็ดที่ดีควรขึ้นเรียงเป็นระเบียบ ส่วนหัวควรคอดเล็กแล้วปลายแหลม ส่วนหางควรเบ่งบานแต่จะยาวหรือสั้นก็พิจารณาตามสายพันธุ์ของปลาทองนั้นๆ สำหรับสีบนลำตัวเท่าที่นิยมเลี้ยงๆกัน โดยมากจะเป็นปลาที่มีสีขาวสลับแดงอยู่ในตัวเดียวกัน ปลาที่มีสีขาวทั้งตัวเป็นปลาที่ไม่สู้ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
|
ปลาทองตากลับ
ปลาทองตากลับ
ปลาทองสายพันธุ์ตากลับ หรือ ปลาทองเซเลสชัส CELESTIAL GOLDFISH
เป็นปลาทองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ชาวจีนเรียกกันว่า
"โซเตงงัง CHOTENGAN" ซึ่งมีความหมายว่า ปลาตาดูฟ้าดูดาวหรือตามุ่งสวรรค์
สาเหตุเนื่องจากปลาทองชนิดนี้มีตาหงายกลับขึ้นข้างบนผิดจากปลาปลาทองชนิดอื่นๆ นั่นเอง เคยมีนิทานจีนอยู่เรื่องหนึ่งเล่าต่อกันว่าปลาตัวนี้เกิดขึ้นในสมัยราชาภิเษกฮ่องเต้จีนพระองค์หนึ่ง โดยองค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตรลงในบ่อปลาก็พบว่าปลาทองตัวนี้ได้พลิกตาขึ้นมาจ้องมองพระองค์คล้ายกับต้องการแสดงการคารวะสรรเสริญพระองค์ มีบางตำนานได้กล่าวไว้ว่า ปลาทองพันธุ์ตาโปน TELESCOPE EYE ซึ่งถูกนำไปเลี้ยงไว้ในไหที่มีปากแคบ ทำให้ปลาต้องคอยแหงนตาขึ้นมองข้างบนอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากแสงสว่างภายในไม่เพียงพอ จนกระทั่งทำให้ตาของปลาหงายขึ้นตลอดกาล ซึ่งเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องที่ชาวจีนเล่าขานกันมาแต่โบราณกาล สำหรับประวัติแท้จริงของต้นกำเนิด ปลาทองพันธุ์นี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นที่แน่ชัด
ลักษณะของปลาทองชนิดนี้จะมีลำตัวคล้ายกับปลาทองหัวสิงห์ แต่ครีบและหางจะไม่ตั้งแผ่เหมือนปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ ในสมัยแรกนั้น ปลาทองพันธุ์นี้มีครีบหางที่ยาว ความยาวของหางพอๆ กับความยาวของลำตัว สีของตัวปลาเป็นสีส้มออกทองเป็นปลาที่ไม่มีครีบกระโดงหลังเหมือนปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ ต่อมาในราวปี ค.ศ. 103 ชาวญี่ปุ่นได้นำปลาชนิดนี้ไปเลี้ยงและผสมพันธุ์จนได้ปลาทองพันธุ์ตากลับที่มีครีบหางสั้นกว่าพันธุ์ดั้งเดิมของจีน ซึ่งชาวญี่ปุ่นได้ตั้งชื่อปลาชนิดนี้ว่า DEMERANCHU และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาปลาทองพันธุ์นี้ก็เป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงกันแพร่หลายมากขึ้น แต่เนื่องจากปลาทองพันธุ์นี้เป็นปลาที่ค่อนข้างเลี้ยงยาก สาเหตุเพราะปลาทองสายพันธุ์นี้ตาไม่ค่อยดีและมีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่ดีคล้ายกับปลาทองพันธุ์ตาโปนทั้งหลาย ซึ่งถ้าเราให้อาหารสดที่ยังมีชีวิตปลามักว่ายไล่กินไม่ค่อยทันเพราะมองไม่ค่อยเห็น ดังนั้นการเลี้ยงปลาชนิดนี้จึงควรให้อาหารตรงหน้าเพื่อให้ปลาอมองเห็นได้ชัด และไม่ควรเลี้ยงปลาทองพันธุ์นี้ร่วมกับปลาทองพันธุ์อื่น เพราะมันอาจถูกรังแกหรือถูกปลาทองตัวอื่นแย่งกินอาหารหมด
สำหรับชนิดของอาหารที่ใช้เลี้ยง ควรเลือกให้อาหารสำเร็จรูปจะดีกว่า เพราะปลาสามารถดมกลิ่นและกินอาหารได้สะดวก ปลาทองสายพันธุ์นี้ไม่เหมาะสำหรับนักเลี้ยงปลาทองมือใหม่ เพราะเป็นปลาที่ค่อนข้างเปราะบาง และต้องการความเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ ไม่ควรเลี้ยงปลาทองชนิดนี้ในที่กลางแจ้งที่มีแสงจัด เนื่องจากแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทำให้ปลาสู้แสงไม่ไหว และอาจถึงกับทำให้ปลาตาบอดได้ สำหรับ อุณหภูมิที่เหมาะสมจะเลี้ยงปลาพันธุ์นี้ควรอยู่ในช่วงระหว่าง 15-20 องศาเซลเซียส เนื่องจากเป็นปลาที่อยู่ในเมืองหนาว จัดว่าเป็นปลาที่ชอบอากาศเย็นเป็นพิเศษ สำหรับอายุขัยของ
|
ปลาทองตาโปน( ลักเล่ห์)
ปลาทองตาโปน( ลักเล่ห์)

1.ปลาทองตาโปนสีแดง หรือเป็นปลาทองตาโปนที่มีสีแดงตลอดทั้งลำตัว ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า Aka Demekin2.ปลาทองพันธุ์เล่ห์ หรือที่คนไทยมักนิยมเรียกกันจนติดปากกันว่า “ปลาลักเล่ห์” เป็นปลาทองตาโปนที่มีสีดำตลอดทั้งลำตัว นอกจากนี้ยังแบ่งออกเป็นสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ ออกไป เช่น
- พันธุ์หางตุ๊กตา ปลายหางของปลาจะเรียบเสมอกันจนดูคล้ายกระโปรง - พันธุ์หางยาวธรรมดา ซึ่งเป็นปลาที่มีราคาแพงกว่าชนิดหางตุ๊กตา - พันธุ์เล่ห์นาก หรือ ลักเล่ห์นาก - พันธุ์แพนด้า ที่มีสี Marking คล้ายหมีแพนด้า โดยเฉพาะตรงส่วนหน้า (พันธุ์ใหม่สุด)3.ปลาทองตาโปน 3 สี คนไทยมักนิยมเรียกกันว่า “ลักเล่ห์ 5 สี” นั่นเอง
ลักษณะเด่นของปลาทองพันธุ์นี้ก็คือ ตาของปลาจะยื่นโปนออกไปข้างหน้าจนดูคล้ายกับกล้องส่องทางไกล จึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Telescope Eyes” ลักษณะของตาปลาทองชนิดนี้ที่ดีควรจะต้องโต และตาสองข้างต้องมีขนาดเท่า ๆ กัน แก้วตาควรจะกลมไม่แบนปลาชนิดนี้เมื่ออายุยังน้อยลูกตาจะไม่โปนออกมา โดยทั่วไปเมื่อลูกปลามีอายุได้ 3-6 เดือน ลูกตาจึงจะค่อย ๆ ยื่นโปนออกมาชัด หากตาโปนขึ้นเพียงข้างเดียวจะทำให้ปลาด้วยราคาถูกลงทันที โดยมากปลาทองตาโปนหากผู้เลี้ยง ๆ ไม่ดี ปลามักจะตาบอด เนื่องจากตาของปลามักชนถูกขอบตู้หรือขอบอ่างอยู่เสมอ ดังนั้นภาชนะที่ใช้เลี้ยงจึงควรเป็นบ่อหรืออ่างที่มีลักษณะกลมและปากบ่อหรืออ่างควรป้านออก เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาว่ายไปชนถูกขอบบ่อ ขนาดของปลาทองพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็ก โดยเฉลี่ยยาวไม่เกิน 6 นิ้ว จัดว่าเป็นปลาที่ค่อนข้างเปราะบางเลี้ยงยาก ดังนั้นจึงเป็นปลาที่ไม่เหมาะสำหรับนำเลี้ยงปลามือใหม่ที่จะนำไปเลี้ยง และเนื่องจากปลาทองชนิดนี้เป็นปลาที่มีสายตาใช้การได้ไม่ดีเท่าใดนัก จึงทำให้ปลามีประสาทในการดมกลิ่นดีกว่าพันธุ์อื่น ๆสำหรับปัญหาที่มักเกิดกับปลาทองเล่ห์ คือ ปลาทองชนิดนี้เมื่อมีอายุขัยมากขึ้นสีมักจะกลาย ทำให้ขาดความสวยงามจากการศึกษาค้นคว้าพอทราบว่าเหตุที่ปลาทองพันธุ์นี้มีชื่อว่า “พันธุ์เล่ห์” เพราะเจ้าของร้านเล่ห์ประดิษฐ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตแรกเก็ตไม้แบดมินตันเป็นผู้นำปลาทองชนิดนี้เข้ามาเลี้ยงและเผยแพร่ในเมืองไทย จึงเรียกปลาทองตาโปนที่สีดำนี้ว่า “พันธุ์เล่ห์” ตั้งแต่นั่นเป็นต้นมา ซึ่งภายหลังแผลงกันจนเป็น “ปลาลักเล่ห์”สำหรับปลาทองตาโปน 3 สี นั้น เป็นปลาทองที่มีเกล็ดโปร่งใส โดยมีลวดลายและสีสันอยู่ภายในซึ่งเราสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งหากดูอย่างผิวเผินแล้วอาจเข้าใจว่า ลวดลายและสีสันบนตัวปลาเป็นสีบนเกล็ดปลา แต่ที่แท้จริงแล้วสีที่เห็นเป็นสีที่ซ่อนอยู่ใต้เกล็ด สำหรับสีของปลาทองชนิดนี้ได้แก่ แดง ขาว ดำ ฟ้า น้ำตาลออกเหลือง แดงออกม่วง ปลาที่มีครบทั้ง 5 สี อยู่ในตัวเดียวจะเป็นปลาที่มีราคา ซึ่งปลาที่มีลักษณะเช่นนี้เป็นปลาที่หาได้ยากนอกจากนี้ปลาทองพันธุ์ตาโปน หรือ พันธุ์เล่ห์ ยังสามารถแยกประเภทออกไปตามลักษณะของหางออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ1.ปลาทองชนิดหางแฉก ซึ่งในบ้านเรานิยมเรียกกันว่า “หางผีเสื้อ” จัดว่าเป็นปลาที่ได้รับความนิยมมากกว่าปลาทองประเภทที่จะกล่าวต่อไป2.ปลาทองหางซิว มีลักษณะคล้ายหางปลาทองสามัญ แต่จะเรียวยาวมากกว่าคล้ายหางปลาซิว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)