วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปลาทองหัวสิงห์ตันโจ

ปลาทองหัวสิงห์ตันโจ

ปลาทองที่มีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ โดยสิ้นเชิง นั่นคือ
ปลาทองชนิดนี้แทนที่จะมีวุ้นขึ้นดกหนา
เหมือนปลาหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ แต่กลับ มีเยื่อจมูกยื่นยาว
ออกมาทำให้แลดูแปลกตาออกไป
 ส่วนวุ้นบนหัวโดยมากจะมีลักษณะบางจนแทบมองไม่เห็น
และโดยทั่วไปปลาทองสายพันธุ์นี้จะ
มีช่วงลำตัวยาวและเพรียวกว่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ
 สำหรับหลักเกณฑ์ความสวยงาม 
พิจารณาจากความสวยงามของเยื่อจมูกของปลาเป็นหลัก ส่วนลักษณะอื่น ๆ ก็ยึดหลักเกณฑ์
เดียวกันกับการตัดสินปลาทองหัวสิงห์ทั่วไป

ปลาทองสายพันธุ์นี้ในบ้านเราไม่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก สาเหตุอาจเป็นเพราะทรวดทรงที่
ไม่สวยงามเท่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์ที่มีวุ้นดกหนา ขณะเดียวกันก็เป็นปลาที่แพร่พันธุ์ได้
ยากมาก และส่วนมากลูกปลาที่เพาะได้ก็จะพิการเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้ปลา
ชนิดนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากนักเพาะพันธุ์ปลาทองมืออาชีพเช่นกันเพราะเพาะแล้ว
ไม่ค่อยคุ้ม

ปลาทองหัวสิงห์ปอมปอม


ปลาทองหัวสิงห์ปอมปอม


ปลาทองที่มีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ โดยสิ้นเชิง 
นั่นคือปลาทองชนิดนี้แทนที่
จะมีวุ้นขึ้นดกหนาเหมือนปลาหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ
 แต่กลับ มีเยื่อจมูกยื่นยาวออกมา
 ทำให้แลดูแปลกตาออกไป ส่วนวุ้นบนหัวโดยมาก
จะมีลักษณะบางจนแทบมองไม่เห็น
 และโดยทั่วไปปลาทองสายพันธุ์นี้จะมีช่วงลำตัวยาวและ
เพรียวกว่าปลาทองหัวสิงห์
สายพันธุ์อื่น ๆ
สำหรับหลักเกณฑ์ความสวยงาม พิจารณาจากความสวยงามของเยื่อจมูกของปลา
เป็นหลัก ส่วนลักษณะอื่น ๆ ก็ยึดหลักเกณฑ์เดียวกันกับการตัดสินปลาทองหัวสิงห์ทั่วไป
ปลาทองสายพันธุ์นี้ในบ้านเราไม่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก สาเหตุอาจเป็นเพราะทรวดทรง
ที่ไม่สวยงามเท่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์ที่มีวุ้นดกหนา ขณะเดียวกันก็เป็นปลาที่แพร่พันธุ์
ได้ยากมาก และส่วนมากลูกปลาที่เพาะได้ก็จะพิการเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้ปลา
ชนิดนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากนักเพาะพันธุ์ปลาทองมืออาชีพเช่นกันเพราะเพาะแล้ว
ไม่ค่อยคุ้ม


ปลาทองพันธุ์ ชูบุงกิง

ปลาทองพันธุ์ ชูบุงกิง



ปลาทองชูบุงกิง (SHUBUNKIN) มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษ

อยู่ด้วยกันหลายชื่อ อาทิเช่น 

SPECKLED GOLDFISH, 

HARLEQUIN GOLDFISH,

 VERMILION GOLDFISH 

และ RED BROCADE เป็นปลาที่เพิ่งเกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่

 20 นี้ โดยนักเพาะพันธุ์ปลาทองจากนครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

 คือ นาย Kichigoro Akiyama โดยนำปลาทอง ชนิด คือ

 ปลาทองพันธุ์ตาโปน 3 สี (5สี) (Calico Telescope Eye) 

มาผสมข้ามพันธุ์กับปลาทองพันธุ์วะกิง (Japanese Golden)

 ซึ่งมีหางเดี่ยว หรือหางซิว (Single Tial) ต่อมาก็นำมาผสมกับ

ปลาทองพันธุ์ Scarlet Crucian (Hibuna) จากนั้นเขาก็

ได้คัดเลือกลูกปลาขึ้นมาราว 14-15 ตัวจากจำนวนปลาทั้งสิ้น

 หมื่นกว่าฟอง ซึ่งลูกปลาที่เขาเพาะพันธุ์ขึ้นได้มีหางยาวมี

เกล็ดบางใสและมีสีหลากหลายสีอยู่ในตัวเดียวกัน 

ซึ่งนาย Shinnosuke Matsubara ได้ขนานนามให้ปลาตัวนี้ว่า

 “Red Marked Calico” หรือ "Shubunkin"ต่อมาลูกปลาทอง

ชูบุงกิงได้เข้าไปแพร่หลายในประเทศอังกฤษในสมัยราชาภิเษก

อวยพรเจ้ายอร์ชที่ 6 ในสมัยนั้นได้มีพ่อค้าปลาบางรายได้ตั้ง

ชื่อปลาชนิดนี้ว่า “Coronation Fish” หรือปลาราชาภิเษก

 ทั้งนี้เพราะปลาชนิดนี้มีจุดประขึ้นเป็นสีต่างๆ แต่ชื่อนี้ก็ใช้

เพียงเพื่อผลประโยชน์ในเชิงการค้าเท่านั้นและในเวลาต่อ

มาปลาทองชนิดนี้ ก็ได้วิวัฒนาการจนได้ปลาทอง สายพันธุ์ 

London Shubunkin และ Bristol Shubunkin ซึ่งปลาทองทั้ง 

สายพันธุ์จะมีรูปร่างและสีสันที่เหมือนๆ กัน ต่างกันตรง

ที่ปลาทอง Bristol Shubunkin จะมีครีบและหางยื่นยาวและสูงกว่า 

แต่แบบ London Shubunkin ดูจะได้รับความนิยมมากว่า

ในประเทศอังกฤษ

ปลาทองชูบุงกิงเป็นปลาทองที่มีความแข็งแรง

อดทนมากชนิดหนึ่ง

 มีเกล็ดบางใสแต่ไม่เงาแวววาว

เหมือนปลาทองทั่วๆไป ลำตัวมีลักษณะคล้าย

ปลาทองสามัญแต่จะ

เพรียวกว่า มีครีบที่สมบรูณ์และยาว

กว่า ปลายหางจะมนกลม เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้รวดเร็วและต้องการพื้นที่ในที่เลี้ยง

พอสมควร ปลาทองชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดถัวเฉลี่ยราว นิ้ว มีอายุยืนยาวราว

 10-20 ปี จัดว่าเป็นปลาทองที่ค่อนข้างเลี้ยงง่าย สามารถเลี้ยงได้ในกลางแจ้งตลอดทั้งปี

 เป็นปลาที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี สามารถเลี้ยงได้ในที่ๆ

แม้มีอุณหภูมิต่ำ แต่ไม่ควรให้ปลาอยู่ในที่ๆ มีอุณหภูมิต่ำกว่า60 องศาF

 เป็นระยะเวลานานๆ เพราะความเย็นอาจทำให้กระเพาะลมของปลาเกิดการผิดปกติ

 ปลาชนิดนี้มีด้วยกันหลากหลายสี อาทิเช่น สีแดง ขาว ส้ม ทอง น้ำตาล ดำ เหลือง ม่วงเข้ม

 น้ำเงินเทาสำหรับในบ้านเราปลาทองพันธุ์ชูบุงกิงมันรู้จักดีในนามของ ปลาทองหางซิว 

แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลายนัก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเป็นปลาทองที่รูปร่าง

ธรรมดาๆ จึงทำให้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจกันเท่าใด แต่ถ้าหากท่านนักเลี้ยงปลาได้รู้ถึงความ

ยากเย็นกว่าที่จะได้ปลาทองพันธุ์นี้มา คิดว่าคงมีหลายๆท่านอาจจะหันมาสนใจปลาทองพันธุ์

นี้กันบ้าง นอกจากนี้ปลาทองชนิดนี้ยังเป็นปลาที่เหมาะ

ที่จะนำมาเลี้ยงไว้ในบ่อหรือสระเล็กๆ เพราะเป็นปลาที่มีความอดทนและสามารถเลี้ยงในกลางแจ้ง

ได้อีกด้วยคราวนี้เราจะมาคุยกันถึงลักษณะของปลาทองพันธุ์ชูบุงกิงที่จัดว่าสวย ลักษณะสำคัญของ

ปลาทองพันธุ์นี้คือหาง หางจะต้องเป็นแบบหางซิวและจะต้องยาว ปลาทองชนิดนี้หากมีหางยาวมาก

เท่าใดก็จะเป็นที่นิยมมากเท่านั้น สำหรับในด้านของสีสัน หากมีหลายสีก็จะเป็นที่นิยมกัน 

แต่ที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุดจะต้องมี สี เป็นจุดประทั่วทั้งตัว ปลาที่มีสีเหลืองมากว่าสีอื่นจะ

ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเลี้ยงกัน

 

ปลาทองพันธุ์โคเม็ท

                                                 ปลาทองพันธุ์โคเม็ท



ปลาทองโคเมทเป็นปลาที่คัดสายพันธุ์ได้ที่อเมริกา โดยการพัฒนามาจากปลาทอง
ธรรมดา ได้ปลาที่มีครีบยาวขึ้น โดยเฉพาะหางจะยาวไม่น้อยกว่า 3/4 ของความยาว
ลำตัว เป็นปลาที่เลี้ยงง่ายว่ายน้ำได้รวดเร็ว ปราดเปรียวต้องการเนื้อที่สำหรับอยู่
มากกว่าปลาชนิดอื่น จึงเหมาะแก่การเลี้ยงไว้ในบ่อมากกว่าเลี้ยงไว้ในตู้หรืออ่างปลา ในอเมริกานิยมเลี้ยงกันมาก เป็นปลาที่ราคาค่อนข้างแพงในยุโรปเมื่อสิบกว่า
ปีก่อนก็ได้รับความนิยมไม่น้อย มาช่วงระยะหลังนี้ออกจะไปซาไปแต่สำหรับบ้าน
เรามีคนเลี้ยงกันน้อยอาจเป็นด้วยความรูปร่างที่คล้ายปลาคาร์พคนจึงหันมาเลี้ยง
ปลาคาร์พ ตามกระแสนิยมมากกว่า แต่ถ้าต้องการปลาทองที่มีความปราดเปรียว และอ่อนช้อยอยู่ในตัวเดียวกัน ปลาทองโคเมทน่าจะเป็นคำตอบที่ดี
รูปร่างลักษณะของปลาทองโคเมทที่ได้สัดส่วนมาตรฐานสากล
ลำตัวด้านกว้างควรอยู่ระหว่าง 3/7 ถึง 3/8 เท่าของความยาว
ครีบอกและครีบท้องจะต้องเป็นครีบคู่ แต่ครีบหลังและครีบทวารจะต้องเป็นครีบเดี่ยว
ครีบหางจะต้องยาวไม่น้อยกว่า 3/4 ลำตัว
ปลายครีบทุกครีบจะมีลักษณะแหลม 


สีมีทั้งสีเดียวกันตลอดทั้งตัวหรือเป็นลายแถบสลับสีระหว่าง สีส้ม ขาวเงิน เหลือง ถ้า
เป็นชนิดห้าสี สีพื้นของลำตัวจะต้องเป็นสีน้ำเงินและมีไม่น้อยกว่า 25 %
ทั้งหมด โดยแถบสีต่างๆ ได้แก่ สีม่วง แดง ส้ม เหลือง น้ำตาล โดยมีลายแต้มจุดเป็น
สีดำปกติปลาทองโคเมทเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายไม่ต้องเอาใจใส่มากเหมือนปลาทอง
สายพันธุ์
อื่นๆแต่ถ้าเลี้ยงไว้ในบ่อกลางแดดจะช่วยให้ปลามีสีสดสวยยิ่งขึ้นแต่ก็ควรมีร่มไว้ให้
ปลาหลบแดดบ้าง โดยทั่วไปปลาทองโคเมทจะมีอายุระหว่าง 5-10 ปี

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปลาทอง พันธุ์เกล็ดแก้ว

 
                                                       ปลาทอง พันธุ์เกล็ดแก้ว





ปลาทองลูกกอล์ฟใต้น้ำสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยจนเป็นที่รู้จักและยอมรับของทั่วโลกว่าเป็นปลาทองที่แปลกไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้วนี้เป็นปลาที่ชาวไทยเป็นผู้เพาะพันธุ์ขึ้นสำเร็จเป็นชาติแรกของโลก ซึ่งปลาทองสายพันธุ์นี้มีลักษณะแตกต่างไปจากปลาทองสายพันธุ์อื่นๆ โดยสิ้นเชิง นั่นคือเป็นปลาทองที่มีลำตัวกลมมากจนคล้ายลูกปิงปอง โดยเฉพาะเกล็ดบนลำตัวจะมีลักษณะนูนขึ้นจนเป็นตุ่มซึ่งผิดกับเกล็ดของปลาทองโดยทั่วไปส่วนหัวมีขนาดเล็กมากซึ่งอาจจัดได้ว่าเป็นปลาทองที่มีส่วนหัวเล็กที่สุดก็ว่าได้ และจากลักษณะพิเศษเฉพาะนี้ทำให้ปลาทองเกล็ดแก้วดังข้ามทะเลไปสร้างชื่อเสียงไกลถึงต่างประเทศให้เป็นที่รู้จัก ในนามของ "PEARL SCALE GOLDFISH"
สำหรับประวัติความเป็นมาของปลาทองสายพันธุ์นี้ยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากผู้เพาะพันธุ์ไม่ได้นำบันทึกการเพาะออกเผยแพร่จึงไม่อาจสืบทราบประวัติที่มาของปลาทองสายพันธุ์นี้ได้ แต่โชคร้ายที่ถึงแม้ว่าปลาทองพันุ์เกล็ดแล้วจะเป็นปลาทองที่เพาะพันธุ์ขึ้นได้ในประเทศไทยเราเองก็ตาม แต่กลับเป็นปลาที่ไม่ได้รับความนิยมจากนักเลี้ยงในบ้านเรา เหตุผลเท่าที่ได้ฟังมาเป็นเพราะปลาทองพันุ์นี้เป็นปลาที่เกล็ดยื่นนูนออกมาทำให้แลดูไม่น่ารักแถมบางคนบอกดูแล้วน่าเกลียดมากกว่า แต่ถ้าพูดถึงความยากง่ายในการเลี้ยงแล้วปลาทองสายพันธ์นี้จัดอยุ่ในเกณฑ์ค่อนข้างเลี้ยงยากสักหน่อย เพราะเป็นปลาที่เปราะบางและป่วยเป็นโรคได้ง่าย

สำหรับเทคนิคในการเลี้ยงก็ใช้หลักการเดียวกับการเลี้ยงปลาทองทั่วๆ ไปในปัจจุบันได้มีผู้ทดลองเพาะพันธุ์ปลาทองพันธุ์นี้จนได้ปลาสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ทีรูปทรงแตกต่างออกไปมากมาย เช่นปลาทองเกล็ดแก้วชนิดหางสั้น ชนิดหางยาว ชนิดหัววุ้น และชนิดหัวมุก ฯลฯ และบ้างก็เน้นไปทางสีสันโดยการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อให้ได้ปลาที่มีสีสันแปลกๆ ออกไป แต่จุดใหญ่คือการคงไว้ซึ่งเกล็ดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
สำหรับปลาทองเกล็ดแก้วที่เป็นที่นิยมว่าสวยควรมีลำตัวกลมเหมือนลูกปิงปองเกล็ดบนลำตัวจะต้องอยู่ครบทุกเกล็ด เกล็ดที่ดีควรขึ้นเรียงเป็นระเบียบ ส่วนหัวควรคอดเล็กแล้วปลายแหลม ส่วนหางควรเบ่งบานแต่จะยาวหรือสั้นก็พิจารณาตามสายพันธุ์ของปลาทองนั้นๆ สำหรับสีบนลำตัวเท่าที่นิยมเลี้ยงๆกัน โดยมากจะเป็นปลาที่มีสีขาวสลับแดงอยู่ในตัวเดียวกัน ปลาที่มีสีขาวทั้งตัวเป็นปลาที่ไม่สู้ได้รับความนิยมเท่าที่ควร  

ปลาทองตากลับ

ปลาทองตากลับ 


ปลาทองสายพันธุ์ตากลับ หรือ ปลาทองเซเลสชัส CELESTIAL GOLDFISH
 เป็นปลาทองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ชาวจีนเรียกกันว่า 
"โซเตงงัง CHOTENGAN" ซึ่งมีความหมายว่า ปลาตาดูฟ้าดูดาวหรือตามุ่งสวรรค์
สาเหตุเนื่องจากปลาทองชนิดนี้มีตาหงายกลับขึ้นข้างบนผิดจากปลาปลาทองชนิดอื่นๆ นั่นเอง เคยมีนิทานจีนอยู่เรื่องหนึ่งเล่าต่อกันว่าปลาตัวนี้เกิดขึ้นในสมัยราชาภิเษกฮ่องเต้จีนพระองค์หนึ่ง โดยองค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตรลงในบ่อปลาก็พบว่าปลาทองตัวนี้ได้พลิกตาขึ้นมาจ้องมองพระองค์คล้ายกับต้องการแสดงการคารวะสรรเสริญพระองค์ มีบางตำนานได้กล่าวไว้ว่า ปลาทองพันธุ์ตาโปน TELESCOPE EYE ซึ่งถูกนำไปเลี้ยงไว้ในไหที่มีปากแคบ ทำให้ปลาต้องคอยแหงนตาขึ้นมองข้างบนอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากแสงสว่างภายในไม่เพียงพอ จนกระทั่งทำให้ตาของปลาหงายขึ้นตลอดกาล ซึ่งเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องที่ชาวจีนเล่าขานกันมาแต่โบราณกาล สำหรับประวัติแท้จริงของต้นกำเนิด ปลาทองพันธุ์นี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นที่แน่ชัด
ลักษณะของปลาทองชนิดนี้จะมีลำตัวคล้ายกับปลาทองหัวสิงห์ แต่ครีบและหางจะไม่ตั้งแผ่เหมือนปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ ในสมัยแรกนั้น ปลาทองพันธุ์นี้มีครีบหางที่ยาว ความยาวของหางพอๆ กับความยาวของลำตัว สีของตัวปลาเป็นสีส้มออกทองเป็นปลาที่ไม่มีครีบกระโดงหลังเหมือนปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ ต่อมาในราวปี ค.ศ. 103 ชาวญี่ปุ่นได้นำปลาชนิดนี้ไปเลี้ยงและผสมพันธุ์จนได้ปลาทองพันธุ์ตากลับที่มีครีบหางสั้นกว่าพันธุ์ดั้งเดิมของจีน ซึ่งชาวญี่ปุ่นได้ตั้งชื่อปลาชนิดนี้ว่า DEMERANCHU และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาปลาทองพันธุ์นี้ก็เป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงกันแพร่หลายมากขึ้น แต่เนื่องจากปลาทองพันธุ์นี้เป็นปลาที่ค่อนข้างเลี้ยงยาก สาเหตุเพราะปลาทองสายพันธุ์นี้ตาไม่ค่อยดีและมีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่ดีคล้ายกับปลาทองพันธุ์ตาโปนทั้งหลาย ซึ่งถ้าเราให้อาหารสดที่ยังมีชีวิตปลามักว่ายไล่กินไม่ค่อยทันเพราะมองไม่ค่อยเห็น ดังนั้นการเลี้ยงปลาชนิดนี้จึงควรให้อาหารตรงหน้าเพื่อให้ปลาอมองเห็นได้ชัด และไม่ควรเลี้ยงปลาทองพันธุ์นี้ร่วมกับปลาทองพันธุ์อื่น เพราะมันอาจถูกรังแกหรือถูกปลาทองตัวอื่นแย่งกินอาหารหมด

สำหรับชนิดของอาหารที่ใช้เลี้ยง ควรเลือกให้อาหารสำเร็จรูปจะดีกว่า เพราะปลาสามารถดมกลิ่นและกินอาหารได้สะดวก ปลาทองสายพันธุ์นี้ไม่เหมาะสำหรับนักเลี้ยงปลาทองมือใหม่ เพราะเป็นปลาที่ค่อนข้างเปราะบาง และต้องการความเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ ไม่ควรเลี้ยงปลาทองชนิดนี้ในที่กลางแจ้งที่มีแสงจัด เนื่องจากแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทำให้ปลาสู้แสงไม่ไหว และอาจถึงกับทำให้ปลาตาบอดได้ สำหรับ อุณหภูมิที่เหมาะสมจะเลี้ยงปลาพันธุ์นี้ควรอยู่ในช่วงระหว่าง 15-20 องศาเซลเซียส เนื่องจากเป็นปลาที่อยู่ในเมืองหนาว จัดว่าเป็นปลาที่ชอบอากาศเย็นเป็นพิเศษ สำหรับอายุขัยของ

ปลาทองตาโปน( ลักเล่ห์)

ปลาทองตาโปน( ลักเล่ห์)




 ปลาทองพันธุ์นี้สามารถจำแนกออกได้เป็น ชนิด ใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ

1.ปลาทองตาโปนสีแดง หรือเป็นปลาทองตาโปนที่มีสีแดงตลอดทั้งลำตัว ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า Aka Demekin2.ปลาทองพันธุ์เล่ห์ หรือที่คนไทยมักนิยมเรียกกันจนติดปากกันว่า “ปลาลักเล่ห์” เป็นปลาทองตาโปนที่มีสีดำตลอดทั้งลำตัว นอกจากนี้ยังแบ่งออกเป็นสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ ออกไป เช่น
       
พันธุ์หางตุ๊กตา ปลายหางของปลาจะเรียบเสมอกันจนดูคล้ายกระโปรง       - พันธุ์หางยาวธรรมดา ซึ่งเป็นปลาที่มีราคาแพงกว่าชนิดหางตุ๊กตา       พันธุ์เล่ห์นาก หรือ ลักเล่ห์นาก       - พันธุ์แพนด้า ที่มีสี Marking คล้ายหมีแพนด้า โดยเฉพาะตรงส่วนหน้า (พันธุ์ใหม่สุด)3.ปลาทองตาโปน สี คนไทยมักนิยมเรียกกันว่า “ลักเล่ห์ สี นั่นเอง
ลักษณะเด่นของปลาทองพันธุ์นี้ก็คือ ตาของปลาจะยื่นโปนออกไปข้างหน้าจนดูคล้ายกับกล้องส่องทางไกล จึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Telescope Eyes” ลักษณะของตาปลาทองชนิดนี้ที่ดีควรจะต้องโต และตาสองข้างต้องมีขนาดเท่า ๆ กัน แก้วตาควรจะกลมไม่แบนปลาชนิดนี้เมื่ออายุยังน้อยลูกตาจะไม่โปนออกมา โดยทั่วไปเมื่อลูกปลามีอายุได้ 3-6 เดือน ลูกตาจึงจะค่อย ๆ ยื่นโปนออกมาชัด หากตาโปนขึ้นเพียงข้างเดียวจะทำให้ปลาด้วยราคาถูกลงทันที โดยมากปลาทองตาโปนหากผู้เลี้ยง ๆ ไม่ดี ปลามักจะตาบอด เนื่องจากตาของปลามักชนถูกขอบตู้หรือขอบอ่างอยู่เสมอ ดังนั้นภาชนะที่ใช้เลี้ยงจึงควรเป็นบ่อหรืออ่างที่มีลักษณะกลมและปากบ่อหรืออ่างควรป้านออก เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาว่ายไปชนถูกขอบบ่อ ขนาดของปลาทองพันธุ์นี้จะมีขนาดเล็ก โดยเฉลี่ยยาวไม่เกิน นิ้ว จัดว่าเป็นปลาที่ค่อนข้างเปราะบางเลี้ยงยาก ดังนั้นจึงเป็นปลาที่ไม่เหมาะสำหรับนำเลี้ยงปลามือใหม่ที่จะนำไปเลี้ยง และเนื่องจากปลาทองชนิดนี้เป็นปลาที่มีสายตาใช้การได้ไม่ดีเท่าใดนัก จึงทำให้ปลามีประสาทในการดมกลิ่นดีกว่าพันธุ์อื่น ๆสำหรับปัญหาที่มักเกิดกับปลาทองเล่ห์ คือ ปลาทองชนิดนี้เมื่อมีอายุขัยมากขึ้นสีมักจะกลาย ทำให้ขาดความสวยงามจากการศึกษาค้นคว้าพอทราบว่าเหตุที่ปลาทองพันธุ์นี้มีชื่อว่า พันธุ์เล่ห์” เพราะเจ้าของร้านเล่ห์ประดิษฐ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตแรกเก็ตไม้แบดมินตันเป็นผู้นำปลาทองชนิดนี้เข้ามาเลี้ยงและเผยแพร่ในเมืองไทย จึงเรียกปลาทองตาโปนที่สีดำนี้ว่า พันธุ์เล่ห์” ตั้งแต่นั่นเป็นต้นมา ซึ่งภายหลังแผลงกันจนเป็น “ปลาลักเล่ห์สำหรับปลาทองตาโปน สี นั้น เป็นปลาทองที่มีเกล็ดโปร่งใส โดยมีลวดลายและสีสันอยู่ภายในซึ่งเราสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งหากดูอย่างผิวเผินแล้วอาจเข้าใจว่า ลวดลายและสีสันบนตัวปลาเป็นสีบนเกล็ดปลา แต่ที่แท้จริงแล้วสีที่เห็นเป็นสีที่ซ่อนอยู่ใต้เกล็ด สำหรับสีของปลาทองชนิดนี้ได้แก่ แดง ขาว ดำ ฟ้า น้ำตาลออกเหลือง แดงออกม่วง ปลาที่มีครบทั้ง สี อยู่ในตัวเดียวจะเป็นปลาที่มีราคา ซึ่งปลาที่มีลักษณะเช่นนี้เป็นปลาที่หาได้ยากนอกจากนี้ปลาทองพันธุ์ตาโปน หรือ พันธุ์เล่ห์ ยังสามารถแยกประเภทออกไปตามลักษณะของหางออกได้เป็น ประเภทด้วยกัน คือ1.ปลาทองชนิดหางแฉก ซึ่งในบ้านเรานิยมเรียกกันว่า หางผีเสื้อ” จัดว่าเป็นปลาที่ได้รับความนิยมมากกว่าปลาทองประเภทที่จะกล่าวต่อไป
2.ปลาทองหางซิว มีลักษณะคล้ายหางปลาทองสามัญ แต่จะเรียวยาวมากกว่าคล้ายหางปลาซิว