ปลาทองตาลูกโป่ง
หลายเสียงต่างวิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานานเกี่ยว
กับรูปร่างอันแปลกประหลาดของเจ้าปลาสายพันธุ์
นี้
เนื่องจากมันมีเบ้าตาที่ค่อนข้างพิเศษพิศดารกว่า
ปลาทองพันธุ์อื่น ๆ นั่นคือ เบ้าตาของมันมีความ
ใหญ่โตผิดแผกแตกต่างจากปลาทองโดยทั่วไป
โดยสิ้นเชิง เบ้าตาของปลาขนิดนี้มีขนาด
ใหญ่โตและ
ดูคล้ายมีลูกโป่งติดอยู่ที่ดวงตาของมันและนี่ก็คือ
ที่มาของชื่อ “ปลาทองตาลูกโป่ง”
ปลาทองพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในประเทศจีน
ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือ มีตาที่ใหญ่โตคล้าย
มีลูกโป่งห้อยติดอยู่ที่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง ยามเมื่อ
ปลาแหวกว่ายลูกโป่งทั้ง 2 ข้าง จะกวัดแกว่งไปมา
อย่างน่าหวาดเสียวว่ามันจะแตกหรือเปล่า
ความยาวเมื่อโตเต็มที่ของปลาชนิดนี้จะอยู่ในช่วงประมาณ
6 นิ้ว โดยปกติทั่ว ๆ ไปปลาชนิดนี้จะมีสีขาว สีส้ม สีส้มสลับขาว และส้มเหลือง จัดว่าเป็นปลา
ที่มีสายตา
ไม่ค่อยดีนักและค่อนข้างเป็นปลาที่เปราะบาง เนื่องจากหากถุงลูกโป่งถูกกระทบกระแทก
เพียงเล็กน้อยก็อาจแตกได้ ดังนั้นการเลี้ยงปลาชนิดนี้จำเป็นต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและการ
เอาใจใส่ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรเลี้ยงปลาชนิดนี้รวมกับปลาชนิดอื่น เพราะตาของมันอาจ
ถูกปลาตัวอื่นตอดทำร้ายจนได้รับอันตรายได้
อันที่จริงแล้วปลาทองตาลูกโป่งจัดว่าว่ายน้ำได้เร็ว แต่เนื่องจากส่วนหัวของมันถูกถ่วงไว้ด้วยลูกโป่ง
จึงทำให้การว่ายน้ำไม่สู้สะดวกนัก โดยเฉพาะปลาที่มีลูกโป่งขนาดใหญ่มาก ๆ จะว่ายน้ำได้เชื่องช้า
เป็นพิเศษ แต่ในทางตรงกันข้ามปลาที่มีตาลูกโป่งขนาดใหญ่มาก ๆ นั้น เป็นปลาที่มนุษย์จัดว่ามี
คามสวยงามมากเป็นพิเศษ
ปลาชนิดนี้เมื่อมีอายุได้ 6-9 เดือน ถุงเบ้าตาก็จะเริ่มเจริญเติบโตให้เห็นเด่นชัด และเมื่ออายุ
ได้ 2 ปีก็จะเจริญพันธุ์เต็มที่ ส่วนปัญหาที่มักเกิดกัปลาชนิดนี้ คือ อาการตกเลือดที่ถุงเบ้าตา วิธีแก้ก็โดยการใช้เข็มเจาะเอาเลือดที่ตกค้างอยู่ในนั้นออก จากนั้นไม่นานลูกโป่งก็จะหายเป็น ปกติ ส่วนกรณีที่ตาลูกโป่งของปลาเกิดการกระทบกระแทกจนลูกโป่งแตก หากไม่รุนแรง นักปลาก็หายเป็นปกติในไม่ช้า แต่ถ้ากระแทกอย่างรุนแรงปลาอาจตายได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะในช่วงการดูดเปลี่ยนน้ำไม่ควรให้ปลาว่ายเข้าใกล้ท่อดูดน้ำมากนักเพราะลูกโป่ง
อาจถูกท่อดูดจนแตกได้อ่างที่ใช้เลี้ยงควรเป็นอ่างที่มีปากอ่างกว้างเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาว่าย ไปชนถูกขอบอ่างจนทำให้ปลาได้รับบาดเจ็บ สำหรับระดับน้ำที่ใช้เลี้ยงก็ไม่ควรต่ำกว่า 6 นิ้ว แต่ไม่ควรสูงเกินกว่า 9 นิ้ว เพราะถ้าหากระดับน้ำสูงเกินไปจะทำให้ปลาเสียการทรงตัว ได้ง่าย และลูกโป่งจะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันหากระดับน้ำต่ำมากเกินไปก็ อาจทำให้ถุงน้ำเบ้าตาถูถูกพื้นอ่างอยู่เสมอ ๆ จนเป็นเหตุให้ถุงอาจแตก
ปลาชนิดนี้จะมีอายุได้ราว 5-10 ปี ซึ่งจัดว่าค่อนข้างมีอายุสั้นเมื่อเทียบกับพันธุ์อื่น ๆ
ปลาชนิดนี้นอกจากจะเลี้ยงยากแล้ว ยังให้ลูกได้น้อยอีกด้วย และเป็นปลาที่มีอัตราการเติบ โตที่ค่อนข้างช้า
ในขณะที่ลูกปลาชนิดนี้ที่มีขนาดเล็กก็ไม่เป็นที่นิยมของนักเลี้ยงปลาเท่าใดนัก เนื่อจากลูก
ปลายังไม่มีลูกโป่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สามารถจะดึงดูดความสนใจจากนักเลี้ยงปลาได้ อีกทั้งปลาชนิดนี้หาที่มีรูปร่างและสัดส่วนที่สมบูรณ์ค่อนข้างยาก แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เมื่อปลาชนิดนี้โตเต็มที่ก็จะเริ่ม
เป็นที่นิยมเลี้ยงกันพอสมควร เพราะเอกลักษณ์เฉพาะตัวจะเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัด
|
วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557
ปลาทองตาลูกโป่ง
ปลาทองหัวสิงห์ตามิด
ปลาทองหัวสิงห์ตามิด
ปลาทองสายพันธุ์นี้เป็นปลาทองที่มีสีดำตลอดทั้งตัว บริเวณส่วนหัวจะมีวุ้นขึ้นดกหนากว่าปลาทอง
หัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ โดยเฉพาะปลาที่จัดว่าสวย จะมีวุ้นขึ้นปกคลุมบนส่วนหัวมากจะแทบมอง
ไม่เห็นลูกตา ทำให้นักเลี้ยงปลาบางคนเข้าใจผิดคิดว่าปลาทองสิงห์ดำตามิดเป็นปลาที่ไม่มีลูกตา
หรือ ตาบอด
ปลาทองสายพันธุ์นี้เป็นปลาทองที่มีสีดำตลอดทั้งตัว บริเวณส่วนหัวจะมีวุ้นขึ้นดกหนากว่าปลาทอง
หัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ โดยเฉพาะปลาที่จัดว่าสวย จะมีวุ้นขึ้นปกคลุมบนส่วนหัวมากจะแทบมอง
ไม่เห็นลูกตา ทำให้นักเลี้ยงปลาบางคนเข้าใจผิดคิดว่าปลาทองสิงห์ดำตามิดเป็นปลาที่ไม่มีลูกตา
หรือ ตาบอด
วิธีการสังเกตปลาทองสิงห์ดำตามิดที่จัดอยู่ในเกณฑ์สวย1. ปลาจะต้องมีลำตัวเป็นสีดำสนิทและจะต้องไม่มีสีอื่นแซม
2. วุ้นบนหัวควรจะขึ้นปกคลุมลูกตาจนมิด ยิ่งวุ้นขึ้นหนามากเท่าใด ก็ยิ่งช่วยให้ปลาตัวนั้น
2. วุ้นบนหัวควรจะขึ้นปกคลุมลูกตาจนมิด ยิ่งวุ้นขึ้นหนามากเท่าใด ก็ยิ่งช่วยให้ปลาตัวนั้น
เป็นปลามีราคามากขึ้นเท่านั้น
3. ท้องของปลาจะต้องมีสีดำสนิทไม่ใช่เป็นสีทองหรือขาว
4. เมื่อปลาโตขึ้นสีดำจะต้องไม่ลอกหรือสีซีดจางลงหรือมีสีอื่นขึ้นแซม
3. ท้องของปลาจะต้องมีสีดำสนิทไม่ใช่เป็นสีทองหรือขาว
4. เมื่อปลาโตขึ้นสีดำจะต้องไม่ลอกหรือสีซีดจางลงหรือมีสีอื่นขึ้นแซม
ปลาทองโตซากิ้น
ปลาทองโตซากิ้น
ปลาทองพันธุ์โตซากิ้น TOSAKIN หรือที่ชาวญี่ปุ่นนิยม เรียกชื่อสั้นๆว่า "TOSA" เป็นปลาทองที่ถือ
กำเนิดขึ้นมาในราวปี ค.ศ. 1845 ณ เมืองKOCHI
ในประเทศญี่ปุ่นโดย
นาย KATSUSABURO SUGA ได้นำปลาทอง
หัวสิงห์สายพันธุ์โอซาก้ามาผสมข้ามพันธุ์กับปลาทอง
ริวกิ้น ซึ่งเขาได้พบว่าลูกปลาทองที่เพาะพันธุ์ขึ้น
ได้มีบางส่วนมีลักษณะผ่าเหล่าไปจากลูกปลาทองตัว
อื่นๆ โดยลูกปลาที่มีลักษณะผ่าเหล่าจะมีส่วนหาง
ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากปลาทองทั่วๆไป
อย่างแทบไม่น่าเชื่อ เพราะครีบของปลาทองเหล่านั้นแทนที่จะตั้งชันหรือเบ่งบานเหมือนปลา
พ่อแม่พันธุ์แต่กลับมีปลายหางทั้งสองลักษณะรวมอยู่ในตัวเดียวกัน นั่นคือ ครีบหางด้านข้าง ทั้งสองข้างจะตั้งชันและยื่นชี้ไปทางด้านหน้าของลำตัว ส่วนครีบหางตรงกลางกลับหักมุมลง ด้านล่าง ช่วยให้ครีบหางของปลาเกิดเป็นรอนคล้ายรูปคลื่น โดยเฉพาะหางของปลามี ลักษณะบานสำหรับเกณฑ์การพิจารณาความสวยงามของปลาโดยมากจะพิจารณาจาก ความสวยงามของครีบหางเป็นหลัก ปลาที่สวยจะต้องมีครีบหางเบ่งบานและเป็นลอนสวยงาม โดยเฉพาะครีบหางที่อยู่กึ่งกลางลำตัวควรบานแผ่ออกและมีลักษณะโค้งได้รูป ส่วนครีบด้านข้างทั้งสองข้างควรกางแผ่ออกโดยทำมุมฉากกับลำตัว สำหรับในด้านของ รูปทรงของตัวปลาให้พิจารณาโดยยึดถือหลักเกณฑ์เดียวกับการดูลักษณะปลาทองริวกิ้น ที่จัดว่าสวย เพราะปลาทั้งสองสายพันธุ์จะมีรูปทรงที่คล้ายคลึงกัน
เพียงแต่ปลาทองโทซะคิงอาจมีลักษณะที่เพรียวยาวกว่า ส่วนในด้านของสีสัน ปลาทองสายพันธุ์นี้
โดยทั่วไปจะมีสีแดงหรือไม่ก็สีแดงสลับขาว สีแดงควร
มีสีเข้มสด ส่วนสีขาวควรมีสีขาวบริสุทธิ์
คล้ายกับว่าหางของปลาได้รับการออกแบบประดิดประดอยขึ้นมาโดยเฉพาะจากลักษณะเน้นที่
ไม่มีใครเหมือน ทำให้ปลาสายพันธุ์นี้เป็นที่รู้จักและนิยมกันอย่างแพร่หลายในระยะเวลาอันสั้น
นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันก็จะมีอายุมากกว่าร้อยปีล่วงมาแล้ว จึงพอพิสูจน์ได้ว่าปลาทองสายพันธุ์ นี้เป็นปลาทองที่อยู่ในความนิยมของนักเลี้ยงปลามาเป็นเวลาอันช้านาน แต่เนื่องจากปลาทอง สายพันธุ์นี้เป็นปลาทองที่มีลักษณะบอบบางและค่อนข้างเลี้ยงยากกว่าปลาทองสายพันธุ์อื่นๆ จึงทำให้ได้รับความนิยมมีไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
เทคนิคในการเลี้ยงปลาทองพันธุ์นี้จำเป็นต้องให้ความพิถีพิถันเป็นพิเศษเพราะเลี้ยงไม่ถูกวิธีทำ
ให้ปลาเสียความงามไป จึงต้องจำกัดเนื้อที่และความสูงของน้ำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ให้เนื้อ
ที่ว่ายน้ำมีมากเกินไป น้ำไม่ควรสูงเกินกว่า 6 นิ้ว ส่วนเนื้อที่มีขนาด 70*70 ซม. ต่อปลาขนาดใหญ่
6 -8 ตัว การเลี้ยงปลาควรไว้ในที่ร่มซึ่งมีแดดส่องถึง อุณหภูมิไม่สูงมากควรควบคุมให้ได้ในระดับ
15-25 องศาเซลเซียส
|
ปลาทองรันชู
ปลาทองรันชู
หากจะกล่าวถึงสิ่งที่น่าสนใจของปลาทองรันชูด้วยคำพูดสั้นๆ คงเป็นเรื่องยาก ด้วยเสน่ห์ของปลาทองชนิดนี้ ที่ต่างจากปลาทองชนิดอื่น ทำให้ผู้คนต่างให้ความสนใจและหันมาเริ่มเลี้ยงปลาทองชนิดนี้กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น "การเป็นปลาที่ชื่นชมความงามจากมุมมองด้านบน (TOP VIEW)" ความสวยงามของหางที่แสดงถึงพวงหางที่สวยงาม ส่วนหัวที่พอเริ่มมีอายุก็จะมีก้อนเนื้อวุ้นที่เติบโตตามตัวแสดงถึงสัญลักษณ์แห่งมังกร หรือบางทีเน้นที่เขี้ยวปลาดูองอาจมีสง่าราศี เกล็ดที่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบและสะท้อนรับกับแสงไฟหรือแสงอาทิตย์ สันหลังที่ปราศจากครีบโค้งมนรับกับรูปทรงของตัวปลา และสีสันสวดลายที่สะดุดตาผู้ชมยิ่งนัก จึงไม่แปลกเลยที่ปลาทองรันชูนี้จะดึงดูดความสนใจของผู้ที่ได้พบเห็นมัน และชักชวนให้เริ่มมาเป็นเจ้าของเลี้ยงดูกัน
การเลือกดูลักษณะเด่นของปลาทองรันชู
กล่าวคือการเริ่มดูปลาสำหรับนักเลี้ยงปลาทองรันชูมือใหม่นั้นคงจะยังไม่ทราบว่าเขาเริ่มดูจาก ด้านบนของตัวปลา(Top View) เราจึงขอแนะนำท่านให้เริ่มดูกันจากจุดนี้ การตัดสินปลาที่เข้าตากรรมการก็จะใช้หลักเกณฑ์ดังนี้
กล่าวคือการเริ่มดูปลาสำหรับนักเลี้ยงปลาทองรันชูมือใหม่นั้นคงจะยังไม่ทราบว่าเขาเริ่มดูจาก ด้านบนของตัวปลา(Top View) เราจึงขอแนะนำท่านให้เริ่มดูกันจากจุดนี้ การตัดสินปลาที่เข้าตากรรมการก็จะใช้หลักเกณฑ์ดังนี้
1. รูปทรงและความสมดุลของปลา เมื่อได้มองจากด้านบนในขณะที่ปลากำลังว่ายอยู่นั้น จะเริ่มพิจารณาลักษณะการว่ายของปลาซึ่งจะมองโดยรวมก่อน หลังจากนั้นก็จะเริ่มดูไล่ลงไปจากส่วนหัว ลำตัวและส่วนหาง สังเกตว่ามีส่วนไหนผิดปกติหรือไม่ตรงตามมาตราฐานหรือไม่ แล้วจึงค่อยลงความเห็นว่าลักษณะการว่ายสมดุลดีหรือเปล่า
2. ความอ้วนของปลา ปลาทองรันชูที่ผอมไปนั้น จัดว่าเป็นปลาทองที่ดูไม่ดี และไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยทั่วไปเมื่อมองที่ความกว้างของลำตัวแล้ว จะต้องสังเกตควบคู่ไปด้วยกับโคนหาง กล่าวคือหากปลามีลำตัวที่ใหญ่ก็จะต้องมีโคนหางที่ใหญ่ตามไปด้วย ถ้าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่แต่โคนหางเล็ก คะแนนนิยมก็จะตกลงไปมากทีเดียว
3. การเรียงแถวของเกล็ด และ ความสวยงามของสีสันลวดลาย การเรียงลำดับของเกล็ดที่มีขนาดเล็ดนั้นควรจะเรียงเป็นแนวเดียวกันในแต่ละแถวไม่กระจัดกระจาย และเกล็ดควรจะแวววาวสะท้อนแสงไฟ ส่วนสีสันนั้นจะขาวหรือแดงก็ควรจะเป็นสีที่เข้มสด
4. ปลาที่มีสง่าราศี เมื่อมองโดยภาพรวมแล้ว รูปโฉมและการว่ายของปลาตัวนั้นต้องดูมีสง่าราศี
5. การว่ายน้ำของปลารันชู สำคัญเหมือนกันเพราะปลาที่ไม่ได้มาตราฐานมันจะมีการว่ายที่บ่งบอกให้รู้เช่นกัน สำหรับลีลาการแหวกว่ายของปลา จะต้องมีลีลาที่ปราดเปรียว ไม่อืดอาดหรือเชื่องช้าและไม่ว่ายด้วยท่าทีที่แปลก ๆ เหมือนจะบ่งบอกให้รู้ถึงลักษณะหางที่ไม่ดี
สีและลวดลายมาตราฐานของปลาทองรันชู
(1) โคมาโดะ บนส่วนหัวที่เป็นสีแดงจะเห็นเป็นจุดเหลี่ยมสีขาวขนาดเล็กปรากฎ
(2) โอมาโดะ บนส่วนหัวที่เป็นสีแดงเห็นเป็นจุดเหลี่ยมสีขาวขนาดใหญ่ปรากฎชัดเจน
(3) เม็ง คาบุร ส่วนหัวเท่านั้นที่เป็นสีแดง ส่วนอื่น ๆ จะป็นสีขาว หรือลวดลายก็ได้
(4) เม็ง จิโร่ ส่วนหัวเท่านั้นที่เป็นสีขาว ส่วนอื่น ๆ จะป็นสีแดง หรือลวดลายก็ได้
(5) คันชาชิ บนส่วนหัวที่เป็นสีขาวจะปรากฏสีแดงที่ปลายตาเล็กน้อย
(6) ตันโจ จะมีสีแดงปรากฏเด่นอยู่ที่ส่วนหัว ซึ่งเป็นสีขาว
(7) ฮิโนะมาร บนสันหลังที่เป็นสีขาวจะปรากฏเป็นวงกลมสีแดงดุจดังดวงอาทิตย์
(8) สุอากะ นอกจากบริเวณครีบหางแล้ว ตั้งแต่ส่วนหัวลงมาจะเป็นสีแดงทั้งหมด
(9) โซโจ ตั้งแต่ส่วนหัวจรดหางจะไม่มีสีอื่น ๆ เลย นอกจากแดงทั้งตัว
(10) อะสุกิ ซาระสะ มีลวดลายเป็นจุดแต้มสีแดงคล้ายเม็ดถั่วแดงอยู่บริเวณด้านข้างลำตัว
(11) โคชิ จิโร่ ความหมายตามชื่อก็คือมีส่วนเอวเป็นสีขาว จะสังเกตได้ว่าที่โคนหางเป็นสีขาวคั่นกลาง
(12) คาสึ บุชิ ลักษณะคล้ายกับสวมหมวกสีแดงคาดอยู่
(13) อิจิ มงจิเป็นลักษณะที่มีลายพาดขวางสลับเฉียงกันระหว่างสีแดงกับสีขาวเริ่มตั้งแต่ปากลงมา
(14) คุจิ เบนิ สีขาวเป็นพื้นแต่จะมีสีแดงแต้มที่ริมฝีปากและที่หางอีก 3 จุด
ปลาทองหัวสิงห์ตันโจ
ปลาทองหัวสิงห์ตันโจ
ปลาทองที่มีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ โดยสิ้นเชิง นั่นคือ
ปลาทองชนิดนี้แทนที่จะมีวุ้นขึ้นดกหนา
เหมือนปลาหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ แต่กลับ มีเยื่อจมูกยื่นยาว
ออกมาทำให้แลดูแปลกตาออกไป
ส่วนวุ้นบนหัวโดยมากจะมีลักษณะบางจนแทบมองไม่เห็น
และโดยทั่วไปปลาทองสายพันธุ์นี้จะ
มีช่วงลำตัวยาวและเพรียวกว่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ
สำหรับหลักเกณฑ์ความสวยงาม
พิจารณาจากความสวยงามของเยื่อจมูกของปลาเป็นหลัก ส่วนลักษณะอื่น ๆ ก็ยึดหลักเกณฑ์
เดียวกันกับการตัดสินปลาทองหัวสิงห์ทั่วไป
ปลาทองสายพันธุ์นี้ในบ้านเราไม่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก สาเหตุอาจเป็นเพราะทรวดทรงที่
ไม่สวยงามเท่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์ที่มีวุ้นดกหนา ขณะเดียวกันก็เป็นปลาที่แพร่พันธุ์ได้
ยากมาก และส่วนมากลูกปลาที่เพาะได้ก็จะพิการเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้ปลา ชนิดนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากนักเพาะพันธุ์ปลาทองมืออาชีพเช่นกันเพราะเพาะแล้ว ไม่ค่อยคุ้ม |
ปลาทองหัวสิงห์ปอมปอม
ปลาทองหัวสิงห์ปอมปอม
ปลาทองที่มีลักษณะแตกต่างจากพันธุ์อื่น ๆ โดยสิ้นเชิง
นั่นคือปลาทองชนิดนี้แทนที่
จะมีวุ้นขึ้นดกหนาเหมือนปลาหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ
แต่กลับ มีเยื่อจมูกยื่นยาวออกมา
ทำให้แลดูแปลกตาออกไป ส่วนวุ้นบนหัวโดยมาก
จะมีลักษณะบางจนแทบมองไม่เห็น
และโดยทั่วไปปลาทองสายพันธุ์นี้จะมีช่วงลำตัวยาวและ
เพรียวกว่าปลาทองหัวสิงห์
สายพันธุ์อื่น ๆ
สำหรับหลักเกณฑ์ความสวยงาม พิจารณาจากความสวยงามของเยื่อจมูกของปลา
เป็นหลัก ส่วนลักษณะอื่น ๆ ก็ยึดหลักเกณฑ์เดียวกันกับการตัดสินปลาทองหัวสิงห์ทั่วไป
ปลาทองสายพันธุ์นี้ในบ้านเราไม่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก สาเหตุอาจเป็นเพราะทรวดทรง
ที่ไม่สวยงามเท่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์ที่มีวุ้นดกหนา ขณะเดียวกันก็เป็นปลาที่แพร่พันธุ์
ได้ยากมาก และส่วนมากลูกปลาที่เพาะได้ก็จะพิการเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้ปลา
ชนิดนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากนักเพาะพันธุ์ปลาทองมืออาชีพเช่นกันเพราะเพาะแล้ว
ไม่ค่อยคุ้ม
|
ปลาทองพันธุ์ ชูบุงกิง
ปลาทองพันธุ์ ชูบุงกิงปลาทองชูบุงกิง (SHUBUNKIN) มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษอยู่ด้วยกันหลายชื่อ อาทิเช่นSPECKLED GOLDFISH,HARLEQUIN GOLDFISH,VERMILION GOLDFISHและ RED BROCADE เป็นปลาที่เพิ่งเกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่20 นี้ โดยนักเพาะพันธุ์ปลาทองจากนครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นคือ นาย Kichigoro Akiyama โดยนำปลาทอง 3 ชนิด คือปลาทองพันธุ์ตาโปน 3 สี (5สี) (Calico Telescope Eye)มาผสมข้ามพันธุ์กับปลาทองพันธุ์วะกิง (Japanese Golden)ซึ่งมีหางเดี่ยว หรือหางซิว (Single Tial) ต่อมาก็นำมาผสมกับปลาทองพันธุ์ Scarlet Crucian (Hibuna) จากนั้นเขาก็ได้คัดเลือกลูกปลาขึ้นมาราว 14-15 ตัวจากจำนวนปลาทั้งสิ้น2 หมื่นกว่าฟอง ซึ่งลูกปลาที่เขาเพาะพันธุ์ขึ้นได้มีหางยาวมีเกล็ดบางใสและมีสีหลากหลายสีอยู่ในตัวเดียวกันซึ่งนาย Shinnosuke Matsubara ได้ขนานนามให้ปลาตัวนี้ว่า“Red Marked Calico” หรือ "Shubunkin"ต่อมาลูกปลาทองชูบุงกิงได้เข้าไปแพร่หลายในประเทศอังกฤษในสมัยราชาภิเษกอวยพรเจ้ายอร์ชที่ 6 ในสมัยนั้นได้มีพ่อค้าปลาบางรายได้ตั้งชื่อปลาชนิดนี้ว่า “Coronation Fish” หรือปลาราชาภิเษกทั้งนี้เพราะปลาชนิดนี้มีจุดประขึ้นเป็นสีต่างๆ แต่ชื่อนี้ก็ใช้เพียงเพื่อผลประโยชน์ในเชิงการค้าเท่านั้นและในเวลาต่อมาปลาทองชนิดนี้ ก็ได้วิวัฒนาการจนได้ปลาทอง 2 สายพันธุ์London Shubunkin และ Bristol Shubunkin ซึ่งปลาทองทั้ง2 สายพันธุ์จะมีรูปร่างและสีสันที่เหมือนๆ กัน ต่างกันตรงที่ปลาทอง Bristol Shubunkin จะมีครีบและหางยื่นยาวและสูงกว่าแต่แบบ London Shubunkin ดูจะได้รับความนิยมมากว่าในประเทศอังกฤษปลาทองชูบุงกิงเป็นปลาทองที่มีความแข็งแรงอดทนมากชนิดหนึ่งมีเกล็ดบางใสแต่ไม่เงาแวววาวเหมือนปลาทองทั่วๆไป ลำตัวมีลักษณะคล้ายปลาทองสามัญแต่จะเพรียวกว่า มีครีบที่สมบรูณ์และยาวกว่า ปลายหางจะมนกลม เป็นปลาที่ว่ายน้ำได้รวดเร็วและต้องการพื้นที่ในที่เลี้ยงพอสมควร ปลาทองชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดถัวเฉลี่ยราว 9 นิ้ว มีอายุยืนยาวราว10-20 ปี จัดว่าเป็นปลาทองที่ค่อนข้างเลี้ยงง่าย สามารถเลี้ยงได้ในกลางแจ้งตลอดทั้งปีเป็นปลาที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี สามารถเลี้ยงได้ในที่ๆแม้มีอุณหภูมิต่ำ แต่ไม่ควรให้ปลาอยู่ในที่ๆ มีอุณหภูมิต่ำกว่า60 องศาFเป็นระยะเวลานานๆ เพราะความเย็นอาจทำให้กระเพาะลมของปลาเกิดการผิดปกติปลาชนิดนี้มีด้วยกันหลากหลายสี อาทิเช่น สีแดง ขาว ส้ม ทอง น้ำตาล ดำ เหลือง ม่วงเข้มน้ำเงินเทาสำหรับในบ้านเราปลาทองพันธุ์ชูบุงกิงมันรู้จักดีในนามของ “ปลาทองหางซิว”แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลายนัก ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากเป็นปลาทองที่รูปร่างธรรมดาๆ จึงทำให้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจกันเท่าใด แต่ถ้าหากท่านนักเลี้ยงปลาได้รู้ถึงความยากเย็นกว่าที่จะได้ปลาทองพันธุ์นี้มา คิดว่าคงมีหลายๆท่านอาจจะหันมาสนใจปลาทองพันธุ์นี้กันบ้าง นอกจากนี้ปลาทองชนิดนี้ยังเป็นปลาที่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงไว้ในบ่อหรือสระเล็กๆ เพราะเป็นปลาที่มีความอดทนและสามารถเลี้ยงในกลางแจ้งได้อีกด้วยคราวนี้เราจะมาคุยกันถึงลักษณะของปลาทองพันธุ์ชูบุงกิงที่จัดว่าสวย ลักษณะสำคัญของปลาทองพันธุ์นี้คือหาง หางจะต้องเป็นแบบหางซิวและจะต้องยาว ปลาทองชนิดนี้หากมีหางยาวมากเท่าใดก็จะเป็นที่นิยมมากเท่านั้น สำหรับในด้านของสีสัน หากมีหลายสีก็จะเป็นที่นิยมกันแต่ที่นิยมเลี้ยงกันมากที่สุดจะต้องมี 5 สี เป็นจุดประทั่วทั้งตัว ปลาที่มีสีเหลืองมากว่าสีอื่นจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมเลี้ยงกัน |
ปลาทองพันธุ์โคเม็ท
ปลาทองพันธุ์โคเม็ท
ปลาทองโคเมทเป็นปลาที่คัดสายพันธุ์ได้ที่อเมริกา โดยการพัฒนามาจากปลาทอง
ธรรมดา ได้ปลาที่มีครีบยาวขึ้น โดยเฉพาะหางจะยาวไม่น้อยกว่า 3/4 ของความยาว
ลำตัว เป็นปลาที่เลี้ยงง่ายว่ายน้ำได้รวดเร็ว ปราดเปรียวต้องการเนื้อที่สำหรับอยู่
มากกว่าปลาชนิดอื่น จึงเหมาะแก่การเลี้ยงไว้ในบ่อมากกว่าเลี้ยงไว้ในตู้หรืออ่างปลา ในอเมริกานิยมเลี้ยงกันมาก เป็นปลาที่ราคาค่อนข้างแพงในยุโรปเมื่อสิบกว่า
ปีก่อนก็ได้รับความนิยมไม่น้อย มาช่วงระยะหลังนี้ออกจะไปซาไปแต่สำหรับบ้าน
เรามีคนเลี้ยงกันน้อยอาจเป็นด้วยความรูปร่างที่คล้ายปลาคาร์พคนจึงหันมาเลี้ยง
ปลาคาร์พ ตามกระแสนิยมมากกว่า แต่ถ้าต้องการปลาทองที่มีความปราดเปรียว และอ่อนช้อยอยู่ในตัวเดียวกัน ปลาทองโคเมทน่าจะเป็นคำตอบที่ดี
รูปร่างลักษณะของปลาทองโคเมทที่ได้สัดส่วนมาตรฐานสากล
ลำตัวด้านกว้างควรอยู่ระหว่าง 3/7 ถึง 3/8 เท่าของความยาว
ครีบอกและครีบท้องจะต้องเป็นครีบคู่ แต่ครีบหลังและครีบทวารจะต้องเป็นครีบเดี่ยว
ครีบหางจะต้องยาวไม่น้อยกว่า 3/4 ลำตัว
ปลายครีบทุกครีบจะมีลักษณะแหลม
สีมีทั้งสีเดียวกันตลอดทั้งตัวหรือเป็นลายแถบสลับสีระหว่าง สีส้ม ขาวเงิน เหลือง ถ้า
เป็นชนิดห้าสี สีพื้นของลำตัวจะต้องเป็นสีน้ำเงินและมีไม่น้อยกว่า 25 %
ทั้งหมด โดยแถบสีต่างๆ ได้แก่ สีม่วง แดง ส้ม เหลือง น้ำตาล โดยมีลายแต้มจุดเป็น
สีดำปกติปลาทองโคเมทเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายไม่ต้องเอาใจใส่มากเหมือนปลาทอง
สายพันธุ์
อื่นๆแต่ถ้าเลี้ยงไว้ในบ่อกลางแดดจะช่วยให้ปลามีสีสดสวยยิ่งขึ้นแต่ก็ควรมีร่มไว้ให้
ปลาหลบแดดบ้าง โดยทั่วไปปลาทองโคเมทจะมีอายุระหว่าง 5-10 ปี
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557
ปลาทอง พันธุ์เกล็ดแก้ว
ปลาทอง พันธุ์เกล็ดแก้ว
ปลาทองลูกกอล์ฟใต้น้ำสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยจนเป็นที่รู้จักและยอมรับของทั่วโลกว่าเป็นปลาทองที่แปลกไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้วนี้เป็นปลาที่ชาวไทยเป็นผู้เพาะพันธุ์ขึ้นสำเร็จเป็นชาติแรกของโลก ซึ่งปลาทองสายพันธุ์นี้มีลักษณะแตกต่างไปจากปลาทองสายพันธุ์อื่นๆ โดยสิ้นเชิง นั่นคือเป็นปลาทองที่มีลำตัวกลมมากจนคล้ายลูกปิงปอง โดยเฉพาะเกล็ดบนลำตัวจะมีลักษณะนูนขึ้นจนเป็นตุ่มซึ่งผิดกับเกล็ดของปลาทองโดยทั่วไปส่วนหัวมีขนาดเล็กมากซึ่งอาจจัดได้ว่าเป็นปลาทองที่มีส่วนหัวเล็กที่สุดก็ว่าได้ และจากลักษณะพิเศษเฉพาะนี้ทำให้ปลาทองเกล็ดแก้วดังข้ามทะเลไปสร้างชื่อเสียงไกลถึงต่างประเทศให้เป็นที่รู้จัก ในนามของ "PEARL SCALE GOLDFISH"
สำหรับประวัติความเป็นมาของปลาทองสายพันธุ์นี้ยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากผู้เพาะพันธุ์ไม่ได้นำบันทึกการเพาะออกเผยแพร่จึงไม่อาจสืบทราบประวัติที่มาของปลาทองสายพันธุ์นี้ได้ แต่โชคร้ายที่ถึงแม้ว่าปลาทองพันุ์เกล็ดแล้วจะเป็นปลาทองที่เพาะพันธุ์ขึ้นได้ในประเทศไทยเราเองก็ตาม แต่กลับเป็นปลาที่ไม่ได้รับความนิยมจากนักเลี้ยงในบ้านเรา เหตุผลเท่าที่ได้ฟังมาเป็นเพราะปลาทองพันุ์นี้เป็นปลาที่เกล็ดยื่นนูนออกมาทำให้แลดูไม่น่ารักแถมบางคนบอกดูแล้วน่าเกลียดมากกว่า แต่ถ้าพูดถึงความยากง่ายในการเลี้ยงแล้วปลาทองสายพันธ์นี้จัดอยุ่ในเกณฑ์ค่อนข้างเลี้ยงยากสักหน่อย เพราะเป็นปลาที่เปราะบางและป่วยเป็นโรคได้ง่าย
สำหรับเทคนิคในการเลี้ยงก็ใช้หลักการเดียวกับการเลี้ยงปลาทองทั่วๆ ไปในปัจจุบันได้มีผู้ทดลองเพาะพันธุ์ปลาทองพันธุ์นี้จนได้ปลาสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ทีรูปทรงแตกต่างออกไปมากมาย เช่นปลาทองเกล็ดแก้วชนิดหางสั้น ชนิดหางยาว ชนิดหัววุ้น และชนิดหัวมุก ฯลฯ และบ้างก็เน้นไปทางสีสันโดยการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อให้ได้ปลาที่มีสีสันแปลกๆ ออกไป แต่จุดใหญ่คือการคงไว้ซึ่งเกล็ดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
สำหรับปลาทองเกล็ดแก้วที่เป็นที่นิยมว่าสวยควรมีลำตัวกลมเหมือนลูกปิงปองเกล็ดบนลำตัวจะต้องอยู่ครบทุกเกล็ด เกล็ดที่ดีควรขึ้นเรียงเป็นระเบียบ ส่วนหัวควรคอดเล็กแล้วปลายแหลม ส่วนหางควรเบ่งบานแต่จะยาวหรือสั้นก็พิจารณาตามสายพันธุ์ของปลาทองนั้นๆ สำหรับสีบนลำตัวเท่าที่นิยมเลี้ยงๆกัน โดยมากจะเป็นปลาที่มีสีขาวสลับแดงอยู่ในตัวเดียวกัน ปลาที่มีสีขาวทั้งตัวเป็นปลาที่ไม่สู้ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
|
ปลาทองตากลับ
ปลาทองตากลับ
ปลาทองสายพันธุ์ตากลับ หรือ ปลาทองเซเลสชัส CELESTIAL GOLDFISH
เป็นปลาทองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ชาวจีนเรียกกันว่า
"โซเตงงัง CHOTENGAN" ซึ่งมีความหมายว่า ปลาตาดูฟ้าดูดาวหรือตามุ่งสวรรค์
สาเหตุเนื่องจากปลาทองชนิดนี้มีตาหงายกลับขึ้นข้างบนผิดจากปลาปลาทองชนิดอื่นๆ นั่นเอง เคยมีนิทานจีนอยู่เรื่องหนึ่งเล่าต่อกันว่าปลาตัวนี้เกิดขึ้นในสมัยราชาภิเษกฮ่องเต้จีนพระองค์หนึ่ง โดยองค์ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตรลงในบ่อปลาก็พบว่าปลาทองตัวนี้ได้พลิกตาขึ้นมาจ้องมองพระองค์คล้ายกับต้องการแสดงการคารวะสรรเสริญพระองค์ มีบางตำนานได้กล่าวไว้ว่า ปลาทองพันธุ์ตาโปน TELESCOPE EYE ซึ่งถูกนำไปเลี้ยงไว้ในไหที่มีปากแคบ ทำให้ปลาต้องคอยแหงนตาขึ้นมองข้างบนอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากแสงสว่างภายในไม่เพียงพอ จนกระทั่งทำให้ตาของปลาหงายขึ้นตลอดกาล ซึ่งเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องที่ชาวจีนเล่าขานกันมาแต่โบราณกาล สำหรับประวัติแท้จริงของต้นกำเนิด ปลาทองพันธุ์นี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นที่แน่ชัด
ลักษณะของปลาทองชนิดนี้จะมีลำตัวคล้ายกับปลาทองหัวสิงห์ แต่ครีบและหางจะไม่ตั้งแผ่เหมือนปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ ในสมัยแรกนั้น ปลาทองพันธุ์นี้มีครีบหางที่ยาว ความยาวของหางพอๆ กับความยาวของลำตัว สีของตัวปลาเป็นสีส้มออกทองเป็นปลาที่ไม่มีครีบกระโดงหลังเหมือนปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ ต่อมาในราวปี ค.ศ. 103 ชาวญี่ปุ่นได้นำปลาชนิดนี้ไปเลี้ยงและผสมพันธุ์จนได้ปลาทองพันธุ์ตากลับที่มีครีบหางสั้นกว่าพันธุ์ดั้งเดิมของจีน ซึ่งชาวญี่ปุ่นได้ตั้งชื่อปลาชนิดนี้ว่า DEMERANCHU และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาปลาทองพันธุ์นี้ก็เป็นที่รู้จักและนิยมเลี้ยงกันแพร่หลายมากขึ้น แต่เนื่องจากปลาทองพันธุ์นี้เป็นปลาที่ค่อนข้างเลี้ยงยาก สาเหตุเพราะปลาทองสายพันธุ์นี้ตาไม่ค่อยดีและมีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่ดีคล้ายกับปลาทองพันธุ์ตาโปนทั้งหลาย ซึ่งถ้าเราให้อาหารสดที่ยังมีชีวิตปลามักว่ายไล่กินไม่ค่อยทันเพราะมองไม่ค่อยเห็น ดังนั้นการเลี้ยงปลาชนิดนี้จึงควรให้อาหารตรงหน้าเพื่อให้ปลาอมองเห็นได้ชัด และไม่ควรเลี้ยงปลาทองพันธุ์นี้ร่วมกับปลาทองพันธุ์อื่น เพราะมันอาจถูกรังแกหรือถูกปลาทองตัวอื่นแย่งกินอาหารหมด
สำหรับชนิดของอาหารที่ใช้เลี้ยง ควรเลือกให้อาหารสำเร็จรูปจะดีกว่า เพราะปลาสามารถดมกลิ่นและกินอาหารได้สะดวก ปลาทองสายพันธุ์นี้ไม่เหมาะสำหรับนักเลี้ยงปลาทองมือใหม่ เพราะเป็นปลาที่ค่อนข้างเปราะบาง และต้องการความเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ ไม่ควรเลี้ยงปลาทองชนิดนี้ในที่กลางแจ้งที่มีแสงจัด เนื่องจากแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ทำให้ปลาสู้แสงไม่ไหว และอาจถึงกับทำให้ปลาตาบอดได้ สำหรับ อุณหภูมิที่เหมาะสมจะเลี้ยงปลาพันธุ์นี้ควรอยู่ในช่วงระหว่าง 15-20 องศาเซลเซียส เนื่องจากเป็นปลาที่อยู่ในเมืองหนาว จัดว่าเป็นปลาที่ชอบอากาศเย็นเป็นพิเศษ สำหรับอายุขัยของ
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)